น้ำมันนวด อโรม่า Massage Oil, Aroma Massage oil
หนึ่งในโปรดักซ์ที่สำคัญมากในสปา และร้านนวด ที่จะขาดไม่ได้เลย คือ “น้ำมันนวด” Massage Oil หรือ “น้ำมันอโรม่า” Aroma Massage Oil อีกทั้งยังเป็นเมนูที่ขายดีในสปาอีกด้วย ด้วยกลิ่นหอม และประโยชน์จากธรรมชาติ
เมื่อมีเมนูบริการในร้านนวด หรือ สปา ย่อมต้องมีผลิตภันฑ์ไว้ใช้งาน อันที่จริง การนวดแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ การนวดที่ไม่ใช้สื่อตัวกลาง กับ การนวดโดยใช้ตัวกลางที่เป็นสื่อ
แบบแรก ที่ไม่ใช้สื่อตัวกลาง หรือ ใช้น้อยมาก เช่น การนวดไทย นวดไทยโยคะ ที่เน้นการใช้เทคนิค การกด ยืด บีบ คลึง ดึง ดัด ทุบ สับ ตบ เป็นหลัก ซึ่งอาจจะมีการใช้กลิ่น หรือ ยาหม่อง หรือน้ำมัน มาใช้ร่วมด้วยบ้างเล็กน้อย ในบางกรณี หรือการให้บริการบางแห่ง อาจจะไม่มีการใช้สื่อตัวกลาง หรือ โปรดักซ์ ในการนวดเลย

แบบที่สอง ที่มีสื่อตัวกลางนั้น มีอยู่หลากหลายเมนู หลากหลายประเภท หน้าที่หลัก ของสื่อตัวกลางคือ เพื่อลดแรงเสียดทานจากท่านวด ลดการเสียดสีของเส้นขนบนผิวหนัง สร้างความต่อเนื่องของท่านวด เช่น การลูบ (Stroking หรือ Effleurage) และเป็นตัวนำพา Essential oil เข้าสู่ร่างกาย ทางรูขุมขนของผิวหนัง อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยบำรุงผิว ซึ่งเรามักใช้น้ำมันที่สกัดมาจากพืช อุดมไปด้วยสารสำคัญ และวิตามิน ที่เราพบเห็นเมนูที่ให้บริการกันส่วนใหญ่คือ เมนู นวดน้ำมัน นวดสวีดิช นวดดีพทิชชู่ นวดอโรม่า นวดหน้า นวดศีรษะแบบอินเดีย นวดโลชั่น นวดหน้า เมนูเหล่านี้ล้วนใช้น้ำมันนวดทั้งนั้น
อันที่จริง คำว่า “สื่อตัวกลาง” มิใช่หมายความถึงแค่ “น้ำมัน” แต่ยังมีการนำสิ่งอื่นมาใช้เป็นสื่อตัวกลางเช่นกัน เช่น การใช้แป้งฝุ่น โลชั่น ยาหมองหรือเจล ครีม เป็นต้น ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ หรือ ผู้ออกแบบทรีตเม้นท์
บทความนี้จะขอเจาะลึกไปยัง เรื่องน้ำมัน เป็นสาระสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจ และเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง
น้ำมัน ที่นิยมนำมาใช้ในสปา
น้ำมันที่นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ในร้านนวด และสปา มีอยู่สองประเภทหลัก ๆ คือ A. น้ำมันจากแร่ธาตุ (ได้มาจากอุตสาหกรรมปิโตเลียม) และ B.น้ำมันที่สกัดมาจากพืช ขออธิบายโดยสังเขปดังนี้
A.น้ำมันจากแร่ธาตุ มีชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น น้ำมันแก้ว น้ำมันขาว น้ำมันคาเนชั่น White Oil, Mineral Oil, Carnation Oil. ผลิตได้มาจากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่หมดอายุ ราคาย่อมเยา มักนำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง ที่เห็นบ่อยสุดคือ นำมาทำเป็น Baby Oil โดยประโยชน์ของเค้าคือ เมื่อเรานำมาทาผิว น้ำมันจะทำการเคลือบผิวไว้คล้ายแผ่นฟิล์ม ทำให้ผิวไม่สามารถระเหยน้ำออกได้ ผลลัพธ์คือ ผิวที่ดูชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา จึงเหมาะกับสภาพอากาศที่แห้ง เช่น หน้าหนาวในยุโรป ทาเพื่อป้องกันการสูญเสียของน้ำในผิว แต่หากใช้อยู่อย่างเป็นประจำไม่พักผิว อาจจะทำให้กระบวนการการขับของเสียทางรูขุมขนเกิดปัญหาได้ เนื่องจากถูกเคลือบไว้นานเกินไป และเมื่อไม่ได้ใช้ อาจทำให้ผิวไม่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อม เกิดอาการผิวแพ้ง่ายได้ หรือ ร่างกายสะสมของเสีย ที่ควรจะถูกขับออกทางผิวหนัง ทำให้เป็นต้นเหตุของความเจ็บป่วย หรือ ผิวหนังดูหมองคล้ำได้

การนำมานวด จึงสามารถกระทำได้ อีกทั้งยังราคายังย่อมเยา ช่วยลดต้นทุนได้มาก เพราะน้ำมันจะไม่ซึมเข้าผิว ทำให้ใช้ในปริมาณที่น้อย หลังการนวด ควรอาบน้ำล้างออก เพื่อไม่ให้น้ำมันอุดตันรูขุมขน หรือเคลือบผิว
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การนำน้ำมันแก้ว มาผสมกลิ่นอโรม่าสังเคราะห์ หรือน้ำหอมสังเคราะห์ เพื่อนำมาเป็น “น้ำมันนวดอโรม่า” กลิ่นสังเคราะห์มีราคาถูกมาก ใช้กระบวนการทางเคมี ในการเลียนแบบโครงสร้างของกลิ่นที่มาจากธรรมชาติ อาจทำได้คล้ายคลึง แต่จะไม่มีประโยชน์ ตามหลัก Aromatherapy หรือ กลิ่นบำบัด อีกทั้งสารตั้งต้นที่นำมาทำกลิ่น อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการตกค้างในร่างกาย ทั้งในผู้ให้บริการ และผู้ที่ถูกนวดได้อีกด้วย ถือเป็นภัยเงียบที่อันตรายมาก
ควรเลือกใช้ของที่มาจากพืช
B.น้ำมันนวดที่สกัดมาจากพืช ใช้วิธีที่หลากหลายในการสกัด เช่น การบีบ การใช้ความร้อน การแช่ในสารละลาย ตัวอย่างน้ำมันสกัดจากพืช ที่นิยมนำมาใช้ในสปา ได้แก่ น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกกุหลาบ น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะพร้าว น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันโจโจ้บา และอื่น ๆ อีกมากมาย น้ำมันที่สกัดจากพืช อุดมไปด้วยสารสำคัญ เต็มไปด้วยวิตามิน เมื่อนำมาทาหรือนวด จะช่วยในการบำรุงผิว ป้องป้องผิว ลดริ้วรอย และให้ความชุ่มชื้นต่อผิว โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิว หรือ เกิดการอุดตัน

เมื่อนำ Essential Oil มาเจือจากในน้ำมันที่สกัดมาจากพืช เพื่อทำน้ำมันนวดอโรม่า จะสามารถกระจายน้ำมันหอมระเหยได้อย่างสม่ำเสมอ และทำหน้าที่ในการนำพา Essential Oil เข้าสู่รูขุมขน ซึมเข้าไปทำประโยชน์ต่อร่างกาย ผ่านระบบไหลเวียนโลหิต เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถูกนวด และไม่ทิ้งสารตกค้าง ทั้งผู้ถูกนวด และผู้ที่ให้บริการนวด (Therapist) หลังจากการนวด จึงมักจะได้รับคำแนะนำจาก Therapist ที่มีองค์ความรู้ ให้ทิ้งน้ำมันไว้สัก 2 – 4 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำมันได้ซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวได้อย่างเต็มที่
ได้เวลา “เลือก” ที่จะเปลี่ยน เพื่อสิ่งที่ดีกว่า
การเลือกน้ำมันนวดเข้ามาใช้ในสปา หรือร้านนวด ของผู้ประกอบการ จึงต้องเข้าใจ และใส่ใจ ในความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน มาเป็นอันดับหนึ่ง หากเลือกน้ำมันแก้วมาใช้ จึงควรใช้ในแบบ ไม่ผสมกลิ่นสังเคราะห์ (Fragrance) แม้กลิ่นสังเคราะห์จะหอม แต่ไม่ให้ประโยชน์ และยังอาจจะแพ้ หรือตกค้างในร่างกาย จากสารสังเคราะห์ ผู้เขียนจึงแนะนำให้ใช้เพียว ๆ ไม่ผสม และเมื่อนวดเสร็จแล้ว ควรล้างออกด้วยสบู่ โดยการแนะนำให้ลูกค้าอาบน้ำหลังทรีตเม้น
การเลือกน้ำมันสำหรับการนวดอโรม่า จึงควรเลือกน้ำมันที่สกัดมาจากพืช และใช้กลิ่นที่มาจาก Essential Oil ที่สกัดจากธรรมชาติ แม้ราคาจะสูงกว่าน้ำมันกลิ่นสังเคราะห์มาก แต่ก็ไม่สูงจนเกินไป จนทำให้ไม่สามารถทำราคาได้ การใช้น้ำมันอโรม่าในการนวดหนึ่งครั้ง ประมาณ 60 – 120 นาที จะใช้น้ำมันนวดอโรม่าอยู่ระหว่าง 25 – 40 ml. โดยที่ราคาของน้ำมันนวดอโรม่าที่เป็นของแท้ คุณภาพดี จะมีราคาอยู่ระหว่าง 1,500 – 15,000 บาท ต่อ 1,000 ml ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ประเภทของน้ำมันนำพา และ Essential Oil ที่ผสมลงไป
Essential Oil มะลิ, กุหลาบ ที่นำมาเจือจางในน้ำมันนวด ราคาอยู่ที่ 600,000+ บาท ต่อลิตร หรือกลุ่ม Lavender ก็อยู่หลักหมื่นบาท การที่เราเห็นน้ำมันนวดกลิ่นมะลิ กุหลาบ ในราคาย่อมเยาว์ ย่อมอนุมานเบื้องต้นได้ว่า เป็นน้ำมันที่ใช้กลิ่นสังเคราะห์ ควรเลี่ยงในการนำมาใช้ในสปา หรือร้านนวด

ยกตัวอย่างการคำนวณต้นทุน การนวด Aroma 90 นาที จะใช้น้ำมันในการนวด 30 ml ราคาน้ำมันนวดAroma ( ยกตัวอย่างราคาน้ำมันนวดราคา 2,500 บาท) ราคาจะอยู่ที่ ml ละ 2.5 บาท จะมีต้นทุนในส่วนของน้ำมันอยู่ที่ 30 ml * 2.5 = 75 บาท
ดังนั้น หากขาย Aroma 90 ที่ราคา 1,200 บาท ต้นทุนน้ำมันนวด จะอยู่ที่ 6.25 % ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผล
หากนำน้ำมันแก้วที่ผสมน้ำหอมมาใช้ และขายราคาเดียวกัน ก็จะดูเหมือนแอบเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่เนื่อง ๆ
(น้ำมันแก้วผสมน้ำหอม ราคาในตลาด ประมาณลิตรละ 200 บาท 30 ml จะมีต้นทุนเท่ากับ 6 บาท)
ทั้งนี้ อยู่ที่การเลือกสรรของผู้ประกอบการ ที่จะเลือกของดีมีคุณภาพ หรือ เลือกที่จะประหยัดต้นทุน
ดูแลน้ำมันนวดของคุณให้ดี
การจัดเก็บของ Massage Oil ควรเก็บในอุณหภูมิที่เย็น หรืออุณหภูมิห้อง ไม่ร้อนหรือชื้นจนเกินไป ปลอดจากแสงแดด อากาศถ่ายเทสะดวก หากเป็นน้ำมันธรรมชาติ แนะนำให้มีสต็อก ไม่ควรเกิน 3 เดือน เพื่อความสดใหม่ และไม่ให้มีน้ำมันที่มากเกินไป น้ำมันธรรมชาติ อาจเปลี่ยนสีได้ ถ้าเก็บไว้เป็นเวลานาน โดยปกติ มีอายุการจัดเก็บอยู่ที่ 2 ปี และควรใช้ให้หมดหลังจากเปิดขวด ภายใน 6 เดือน เทคนิคคือ เมื่อเปิดจากขวดใหญ่ 1,000 ml ให้แบ่งบรรจุเป็นหน่วยใช้ เช่น 30 ml ให้หมดขวดใหญ่ จะทำให้น้ำมันสัมผัสอากาศน้อย คงคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งอยู่ในขนาดที่พร้อมแจกจ่ายไปใช้งาน สะดวกต่อการบริหารจัดการ

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กลิ่นบำบัด การใช้กลิ่นสร้างบรรยากาศ น้ำมันหอมระเหย ธาตุเจ้าเรือนกับน้ำมันหอมระเหย การใช้กลิ่นในการบรรเทาหรือรักษาโรค คลื่นความถี่กับการดูแลสุขภาพ การเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยเฉพาะบุคคล ประโยชน์ของน้ำมันที่สกัดจากพืช ผู้เขียนและแอดมิน จะทยอยแบ่งปันให้ผู้ที่สนใจอยู่เรื่อย ๆ นะครับ
หากจะให้ทีม AWA ช่วยสนับสนุนธุรกิจของคุณ คลิก ได้เลยครับ